ปัจจุบัน "ภาวะน้ำหนักเกิน" กลายเป็นปัญหาน่าปวดหัวในหลายประเทศ ถึงขนาดต้องหาทางออกมาตรการควบคุมการบริโภคสินค้าบางชนิดของประชาชน ทั้งน้ำอัดลม อาหารประเภทด่วน (Fast Food) ตลอดจนขนมขบเคี้ยวต่างๆ โดยเฉพาะกับผู้บริโภคที่เป็นเด็กและเยาวชน
สำหรับประเทศไทย นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย ระบุว่า จากการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย (ครั้งที่ 4) ระหว่างปี 2551-2552 ทำการสำรวจประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป พบว่า คนไทยมีค่าดัชนีมวลเกิน (เท่ากับหรือมากกว่า 25 กิโลกรัมต่อตารางเมตร) ในจำนวนนี้เป็นชายร้อยละ 28.4 และหญิงร้อยละ 40.7 ทั้งนี้ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน เป็นสาเหตุของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ มากมาย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือคอเลสเตอรอลในเลือดสูง เป็นต้น
จากภาวะกลัวอ้วนข้างต้น ประกอบกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ผู้คนโดยเฉพาะชาวเมืองต้องเร่งรีบมากขึ้น เห็นได้จากหลายคน ต้องออกจากบ้านไปทำงานหรือไปเรียนแต่เช้ามืด เพราะต้องการหลีกเลี่ยงการจราจรที่นับวันจะติดขัดมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อ เข้าสู่ช่วงเปิดภาคเรียน จึงพบว่ามีคนจำนวนไม่น้อย เลือกที่จะไม่รับประทานอาหารเช้า หรือรับประทานเพียงกาแฟเท่านั้น เพื่อทำให้รู้สึกว่าท้องไม่หิว
อธิบดีกรมอนามัยกล่าวถึงความสำคัญของอาหาร มื้อเช้า โดยปกติแล้ว คนเราจะท้องว่างเป็นเวลาเฉลี่ยราว 12 ชั่วโมง ตลอดช่วงหลังมื้อเย็นถึงเช้าวันรุ่งขึ้น ดังนั้นหากไม่รับประทานมื้อเช้า จะทำให้ระบบเผาผลาญเริ่มต้นช้าลง ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง ส่งผลให้ร่างกายรู้สึกหิวจัด ทำให้การบริโภคในมื้อถัดไปเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว อันเป็นสาเหตุของโรคอ้วนได้ และยังเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดสมอง เบาหวานและโรคหัวใจอีกด้วย เพราะในตอนเช้าเลือดจะมีความเข้มข้นสูง ทำให้เส้นเลือดที่ส่งไปเลี้ยงสมองหรือหัวใจอุดตันได้
แต่หากรับประทานมื้อเช้าให้เรียบร้อยทุกวัน จะช่วยลด ระดับความเข้มข้นในเลือดเจือจางลง ซึ่งพบว่าผู้ที่รับประทานอาหารเช้าทุกวัน ความผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน สาเหตุของโรคเบาหวานจะลดลงถึงร้อยละ 35-50 นอกจากนี้ ยังป้องกันการเกิดโรคนิ่วได้อีกด้วย เนื่องจากการไม่รับประทาน อาหารนานกว่า 14 ชั่วโมง จะทำให้คอเลสเตอรอลในถุงน้ำดีจับตัวกัน หากปล่อยนานๆ ไป ก็จะกลายเป็นก้อนนิ่วได้ ซึ่งการรับประทานอาหารเช้าเป็นประจำ ตับจะปล่อยน้ำดีออกมาละลายไม่ให้คอเลสเตอรอลจับตัวกัน
ด้าน นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า อาหารเช้ายังมีผลต่อการทำงานของ สมองอีกด้วย โดยผู้ที่ขาดอาหารมื้อเช้า ระดับน้ำตาล ในเลือดจะต่ำ ทำให้เริ่มหิวตั้งแต่ช่วงสายๆ ของวัน ตามมาด้วยอารมณ์หงุดหงิด ไม่มีสมาธิ อันส่งผลต่อประสิทธิภาพในการเรียนหรือทำงาน นอกจากนี้ยังทำให้ร่างกายอยาก รับประทานขนมขบเคี้ยว ส่งผลให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น จนเกิดเป็นภาวะโรคอ้วนอีกด้วย
"สำหรับประชาชนที่รับประทานอาหารไม่ครบ 3 มื้อนั้น ส่วนใหญ่มักจะงดมื้อเช้าด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น ต้องตื่นแต่เช้าเร่งรีบไปเรียนหรือทำงาน ไม่มีเวลาพอสำหรับการเตรียมอาหารเช้า หรือบางคนงดอาหารเช้าเพราะต้องการลดน้ำหนัก เหตุผลนี้พบมากในวัยรุ่นและวัยทำงาน ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดและเกิดผลเสียตามมา
เนื่องจากการงดกินอาหารเช้าจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้ช่วงสายของวันจะรู้สึกหิว มีอารมณ์หงุดหงิด สมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก ไม่มีสมาธิในการเรียนหรือทำงาน เกิดการผิดพลาดได้มากกว่า และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหรือ การทำงานจะด้อยกว่าคนที่กินอาหารเช้า เนื่องจากสมองต้องการ น้ำตาลกลูโคสหล่อเลี้ยงตลอดเวลา และจะหันมารับประทานอาหารอื่น เช่น ขนมประเภทกินจุบกินจิบแทนการรับประทานอาหารเช้า ส่งผลให้อ้วนขึ้นหรือน้ำหนักตัวเพิ่มง่ายขึ้น"
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้ความเห็น ขณะที่อธิบดีกรมอนามัยกล่าวเสริมว่า สำหรับอาหารเช้าแบบสำเร็จรูป (Serial) ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ไม่ควรรับประทานเพียงอย่างเดียว เนื่องจากจะได้สารอาหารประเภทแป้งเท่านั้น ซึ่งไม่ครบหมู่ตามที่ร่างกายต้องการ
"ในการรับประทานอาหารเช้านั้น ไม่ควรทานอาหารประเภทข้าวแป้ง ที่ให้สารอาหารคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนใหญ่แต่เพียงอย่างเดียว สำหรับอาหารประเภทซีเรียลต่างๆ ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน จะมีแป้งเป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่ ขอแนะนำว่า ไม่ควรรับประทานเพียงอย่างเดียว ควรรับประทาน คู่กับนม และเพิ่มไข่ ซึ่งเป็นอาหารเช้าที่ดีที่สุด และเสริมด้วยสลัดผักและผลไม้ด้วย ก็จะได้สารอาหารเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย" นพ.พรเทพ ฝากทิ้งท้าย
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
อ้างอิง: http://www.thaihealth.or.th/Content/24600-ขาดอาหารเช้า%20'สมองล้า-โรคภัยรุม'.html