Angthong Hospital

  • 035 615 111
  • 035 612 151

ประกาศ, ประชาสัมพันธ์, รายงานและบทความ

ณัฐธภัสสร รัศมีสุขสรร 18 มี.ค. 2557

เอกสารแนบ

เรื่องราวของอุบัติเหตุ ‘เด็กจมน้ำเสียชีวิต’ โดยเฉพาะในช่วงปิดเทอมนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งจะเคยเกิดขึ้นอย่างแน่นอน หากแต่ยังคงเป็นปัญหาที่พ่อแม่ ผู้ปกครองหลายคนเป็นกังวลใจอยู่ไม่น้อย

/data/content/23479/cms/cdfknrwy1458.jpg

          ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เผยถึงสถิติการจมน้ำในรอบ 11 ปี (ตั้งแต่ปี 2546-2556) พบว่า เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จมน้ำเสียชีวิตแล้วถึง 15,495 คน เฉลี่ยปีละ 1,291 คน หรือวันละเกือบ 4 คน โดยเฉพาะในช่วงปิดเทอม ระหว่างมีนาคม-พฤษภาคม มีเด็กเสียชีวิตจากตกน้ำ จมน้ำสูงถึง 442 คน

          สอดคล้องกับข้อมูลจากศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีที่พบว่า เด็กส่วนใหญ่ที่จมน้ำเสียชีวิตนั้น มักจะเป็นเด็กวัยเรียนอายุ 5- 9 ปี และเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยเกิดจากการไปเล่นใกล้ๆ แหล่งน้ำ หรือลงเล่นน้ำในแหล่งน้ำของชุมชนไม่ไกลจากบ้าน แต่ห่างไกลสายตาพ่อแม่

          “รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์” ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก บอกว่า ในระยะการทำงานของศูนย์วิจัยฯ ตลอด 10 ปีมานี้พบว่า สถิติการจมน้ำเสียชีวิตในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีลดลง 41 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนเสียชีวิต 600 คน/ปี เหลือเพียง 300 คน/ปี

          “โดยทางศูนย์วิจัยฯ ได้ให้ความรู้กับพ่อแม่ ผู้ปกครองเด็ก เริ่มตั้งแต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมรอบๆ บ้าน เช่น ปิดฝาตุ่ม ฝาถังน้ำ ปิดห้องน้ำ ปิดถังน้ำทิ้ง และจุดเสี่ยงอื่นๆ ภายในบริเวณบ้าน เพราะโดยส่วนใหญ่เด็กวัยนี้มักเกิดอุบัติเหตุการจมน้ำภายในบริเวณบ้าน ซึ่งหากพ่อแม่ ผู้ปกครองเฝ้าดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด ไม่เผอเรอ ไม่ประมาท ก็จะสามารถป้องกันอุบัติเหตุได้ง่ายๆ ด้วยตนเอง รวมทั้งยังช่วยกระจายความรู้ที่สามารถปฏิบัติได้จริงไปยังกลุ่มผู้ปกครองด้วยกันได้”

          ในขณะที่สถิติการจมน้ำเสียชีวิตในเด็กอายุ 5 – 9 ปี นั้น การแนะนำให้พ่อแม่ ผู้ปกครองดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิดจึงเป็นเรื่องยาก เพราะเป็นเด็กโตและชอบออกไปเล่นนอกบ้าน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ที่พ่อแม่ ผู้ปกครองจะต้องร่วมมือกับชุมชนหรือโรงเรียนเพื่อฝึกเด็กให้มี "ทักษะความปลอดภัยทางน้ำ 5 ประการ" ดังนี้

          1. รู้สึกเสี่ยง สอนให้เด็กรู้ว่าแหล่งน้ำไหนเสี่ยง ไม่ควรไปวิ่งเล่นใกล้ๆ โดยอาจจะพาเด็กเดินสำรวจสิ่งแวดล้อมในชุมชน และพาเขาไปดูว่าจุดไหนที่อันตราย และจุดไหนที่ปลอดภัย เพราะเด็กวัยนี้จะเข้าใจ ในเหตุและผลได้แล้ว

          2. ลอยตัว 3 นาที เนื่องจากสาเหตุของการจมน้ำส่วนใหญ่ เกิดจากการที่เด็กมักจะเล่นกันใกล้ฝั่งและพลาดตกลงไปในน้ำ หรือการเล่นที่คึกคะนอง แข่งขันกระโดดลงน้ำแต่กลับไม่มีความสามารถที่จะลอยตัวขึ้นมาเพื่อจะเข้าฝั่งให้ได้ เพราะฉะนั้นถ้าลอยตัวได้ 3 นาที เด็กที่พลัดตกในจุดที่ไม่ไกลจากฝั่งก็จะสามารถช่วยตัวเองได้ ท่าลอยตัวที่ง่ายและใช้เพื่อตะกายเข้าฝั่ง เช่น ท่าปลาดาว ท่าแม่ชีลอยน้ำ ว่ายท่าลูกหมา เป็นต้น

          3. ว่ายได้ 15 เมตร นอกจากการลอยตัวให้ได้ 3 นาทีแล้ว เด็กยังต้องสามารถว่ายได้ไกลถึง 15 เมตร เพื่อเป็นทักษะในการว่ายเข้าฝั่งหากพลัดตกลงไปในน้ำ ตามมาตรการ 3 น 15 ม (3 นาที 15 เมตร) นั่นเอง

          4. รู้อันตราย เด็กต้องรู้ว่า การกระโดดลงไปช่วยเพื่อนที่กำลังจมน้ำนั้นเป็นเรื่องที่อันตรายมาก แม้จะถูกฝึกมาอย่างดี ดังนั้นจึงมีหลัก 3 ข้อ คือ “ตะโกน โยน ยื่น” ตะโกนให้ผู้ใหญ่มาช่วย, โยน สิ่งของที่อยู่รอบตัว เช่น ขวดน้ำ ถังน้ำ แกลลอน กะละมัง รองเท้าแตะ เพื่อให้เพื่อนเกาะและสามารถใช้ลอยตัวได้, ยื่น สิ่งยาวๆ ให้เพื่อนจับแล้วดึงเข้ามาใกล้ฝั่ง (ฝั่งที่เขายืนก็ต้องมั่นคงด้วย)

          5. การใช้ชูชีพ เพื่อการเดินทางทางน้ำ ไม่ว่าจะเรือพาย เรือแจว จะว่ายน้ำเป็นไม่เป็น ก็มีความเสี่ยงที่จะจมน้ำได้ทั้งนั้นหากเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้นจึงต้องเคยฝึกที่จะใส่ – ถอดชูชีพให้ถูกวิธี และอย่างน้อยต้องหัดลอยตัวเมื่อใส่ชูชีพให้ได้ เพราะถ้าลอยตัวไม่เป็น หน้าคว่ำลงก็อาจจะเอาชีวิตไม่รอดได้เหมือนกัน

          รศ.นพ.อดิศักดิ์เพิ่มเติมอีกว่า ในอีกมิติหนึ่งของการป้องกันอุบัติเหตุในเด็ก คือ การสร้างชุมชนที่ปลอดภัย เช่น เตรียมพื้นที่เล่นให้เด็ก มีพี่เลี้ยงชุมชนคอยดูแลในจุดที่เด็กไปรวมตัวกัน นอกจากนี้ยังต้องตัดความยั่วยวนในบริเวณแหล่งน้ำ โดยการสร้างรั้วกั้น ติดป้ายเตือน พาเด็กเดินดู และตรวจสอบว่าตรงไหนอันตราย พร้อมแนะนำพื้นที่ที่ปลอดภัย

          ทักษะเบื้องต้นที่จะต้องถูกสอนให้กับเด็กๆ เพื่อสร้างเกาะป้องกัน โดยใช้ความรู้และการตะหนักรู้ และสิ่งเหล่านี้จะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต ทั้งยังสามารถถ่ายทอดให้คนอื่นเพื่อป้องกันความสูญเสียที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้นได้อีกด้วย

 

 

          เรื่องโดย : ภาวิณี เทพคำราม Team Content www.thaihealth.or.th

อ้างอิง: http://www.thaihealth.or.th/Content/23479-เสริมเกาะเหล็ก+ป้องกันเด็กจมน้ำเสียชีวิต.html