Angthong Hospital

  • 035 615 111
  • 035 612 151

ประกาศ, ประชาสัมพันธ์, รายงานและบทความ

ธนิกุล ศรีอุทิศ 30 ต.ค. 2556

เอกสารแนบ

จิตของคนที่พัฒนาแล้วจะเป็นจิตที่ประเสริฐที่สุด แต่ถ้าไม่ได้พัฒนาจะเป็นจิตที่ต่ำที่สุด จิตที่พัฒนาแล้วก็คือจิตที่ไม่โลภ ไม่โกรธไม่หลง นั่นเอง

จิตของคนถ้ายังไม่ได้รับการฝึกจะเต็มไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ฉะนั้นเราควรจะพาตัวเองมาฝึกจิตฝึกใจอยู่เรื่อยๆถ้าความโลภเกิดขึ้น ก็ต้องฝึกให้ไม่โลภ ถ้าความหลงเกิดขึ้น ก็อย่าวิ่งตามมันไป ถ้าความโกรธเกิดขึ้น ก็ฝึกอดทนอดกลั้นให้ได้ ลองฝึกใจหักหน้ากิเลส ถ้าเราไม่วิ่งตามกิเลสไป กิเลสจะไม่สามารถชักนำเราได้

 แต่ถ้าเรายอมตามกิเลส เราจะตกเป็นทาสของกิเลสมากขึ้น เหมือนเด็ก ถ้าเขาร้องไห้แล้วแม่เอาของเล่นให้ เขาจำไว้อยากได้เมื่อไหร่เขาก็จะร้อง ร้องแล้วได้เมื่อไหร่แม่ก็จะป้อนกิเลสก็เป็นอย่างนั้น ถ้ามันอยากขึ้นมาแล้วเราป้อนให้ปั๊บ กิเลสจะจดจำพฤติกรรมนั้นไว้ แล้วมันจะพาเราทำซ้ำๆ สุดท้ายเราจะกลายเป็นทาสของกิเลส พอเราตกเป็นทาสของกิเลส ทีนี้ใครจะมาปล่อยเราล่ะ เราจะกลายเป็นทาสที่ปล่อยไม่ไป

ดังนั้น ในชีวิตหนึ่งของเราอยากจะแนะนำให้ทุกคนหมั่นฝึกใจ หมั่นยกใจ หมั่นชำระใจ เมื่อเราฝึกใจให้สูงจนใจนั้นประณีตเป็นใจสว่างใจกว้าง ใจสูง เป็นใจที่เป็นอิสระ เราจะมีชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง เราจะเป็นดั่งดอกบัวที่ลอยพ้นจากโคลนตม มีชีวิตที่คิดดี มีความสุข

พระพุทธองค์ตรัสเอาไว้ว่า ไม่ว่าบ้าน ป่า ที่ลุ่ม ที่ดอน ท่านที่ไกลกิเลสอยู่ที่ไหน ภูมิภาคนั้นไซร้ย่อมเป็นสถาบันที่รื่นรมย์หมายถึงคนที่ฝึกจิตจนพัฒนาสูงสุดแล้วอยู่ที่ไหนก็ได้ความสุขเราทุกคนก็เหมือนกัน ถ้าเราฝึกจิตให้ดีแล้วสภาพแวดล้อมจะกำหนดจิตของเราให้น้อยลงแต่จิตจะเป็นฝ่ายกำหนดชีวิตของเราเอง

ดังนั้น เมื่อมีโอกาสอยากจะขอแนะนำให้เราท่านทั้งหลายเพียรพัฒนาฝึกชำระใจให้สูง ลดความโลภลง ลดความโกรธลง ลดความตระหนี่ลง ลดความอิจฉาตาร้อนลง ลดกิเลสเหล่านี้ได้เท่าไหร่ จิตของเราจะเป็นอิสระมากขึ้นๆ

เวลาที่ปล่อยยานอวกาศขึ้นสู่ท้องฟ้า จะมีจรวดหลายท่อนซ้อนกันอยู่ พอปล่อยจากฐานจรวดแต่ละท่อน ถังเชื้อเพลิงแต่ละท่อน เมื่อหมดประโยชน์จะถูกทิ้งลงมาทีละท่อนๆ จนเหลือแต่ชิ้นที่สำคัญที่สุดเข้าไปโคจรในชั้นบรรยากาศไปอยู่ในอวกาศ เราทุกคนก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ควรจะทำตัวเหมือนดังยานอวกาศที่ขึ้นไปแล้วสละส่วนที่ไม่จำเป็นทิ้ง แล้วย้อนกลับมาตรวจดูชีวิตเราว่ามีอะไรที่ไม่จำเป็นบ้างสละทิ้งทีละอย่างๆ จนเหลือเนื้อหาสาระของชีวิตที่แท้จริง ถ้าทำได้เช่นนี้ชีวิตจะเบา ชีวิตเบาๆ นั่นแหละเป็นชีวิตที่มีความสุข

คำว่าเบาในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า เป็นเรื่องของการลดน้ำหนักแต่เป็นเรื่องของใจใจที่รู้เท่าทันสัจธรรมแล้วปล่อยวางเปลือกของชีวิตทิ้ง เหลือแต่ชีวิตล้วนๆ ซึ่งเป็นเรื่องเรียบง่ายธรรมดา เข้าถึงความเรียบง่ายเข้าถึงธรรมดาเราก็จะค้นพบความสุขแท้ สุขแท้คือลักษณะเป็นไท ไม่ใช่สุขที่ไปขึ้นอยู่กับสิ่งต่างๆมากมายภายนอก นี่แหละวิธีฝึกใจ

วิธีฝึกใจที่ง่ายที่สุดก็คือ อยู่ที่ไหนก็ตามพยายามตามดูตามรู้ทุกเรื่องที่คิดทุกกิจที่ทำ ทุกคำที่พูด ทุกครั้งที่เคลื่อนไหวพยายามตามดูตามรู้ ภาษาพระเรียกว่าการเจริญวิปัสสนาในชีวิตประจำวัน เมื่อความโกรธเกิดขึ้นมาอย่าไปโกรธตัวเองที่มันโกรธ แต่ให้สังเกตความโกรธ

เมื่อความหลงเกิดขึ้นมา สังเกตความหลง เมื่อความเครียดเกิดขึ้นมา สังเกตความเครียด เมื่อความหงุดหงิดเกิดขึ้นมากลับไปสังเกตความหงุดหงิดตามสังเกตไปทีละนิด สติจะเป็นเหมือนพลังงานแสงที่ใช้ส่องลงไปในความมืด ทุกๆ ครั้งที่จิตมันกระเพื่อมไหวเพราะทุกข์มากระทบถ้าเราฉายแสงแห่งสติเข้าไป กิเลสมันจะหดตัวเองขึ้นไปหดลงๆ แล้วก็จะดีขึ้นๆ นี่คือ 'วิธีฟอกจิต'

เราทุกคนถ้าหมั่นฟอกจิต หมั่นเอาจิตมาชำระสะสางด้วยคุณธรรมความดีเช่น เรามาสมาทานศีล มาทำวัตรสวดมนต์ มาฟังเทศน์ฟังธรรม มาเจริญจิตภาวนา ทำอย่างนี้แล้วหล่อเลี้ยงไปตามลำดับๆ ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ไม่กี่เดือนไม่กี่ปี เราจะมีชีวิตที่เหนือระดับ นั่นคือชีวิตที่มีความสุข เราจะสุขง่ายและทุกข์ยาก อย่าทอดทิ้งการฝึกจิต เพราะจิตที่ฝึกไว้ดีคือสมบัติที่มีค่าที่สุดของเราทุกคน

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ โดย ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

อ้างอิง: http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/article/37284